ธรรมะนั้นมีไว้เพื่อตื่น ไม่ใช่เพื่อหลับไหล พระธรรมนั้นอยู่ในบทสวดมน แต่เราสวดมนแล้วหลับหลับไหล นั่นไม่ได้เป็นไปเพื่อการตื่นรู้เลย เหตุแต่เรายิ่งสวดยิ่งหลับไหล หรืออาจจนถึงข้านมวะมาวธรรมะในบทสวดมน โดยเฉพาะพระสูตร เป็นเนื้อธรรมที่บุคคลผู้หนึ่ง หรือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ได้ฟังจากพระพุทธองค์และมองเห็นสัจธรรม การมองเห็นเช่นนั้น สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ไหม?
นี่เป็นเสียงอ่านบทสวดมนและพระสูตรที่แปลเป็นไทย เพื่อปลุกให้ท่านตื่นเพราะสิ่งที่ท่านกำลังจะได้ฟัง เป็นเสียงและธรรมนองที่ท่านไม่คุ้นเคย จึงอาจไม่ชอบใจ แต่หากทำให้ท่านตื่น ก็คุ้มค่ายิ่งแล้วครั้งนั้น พระผู้มีพระภาพ รับสั่งกับพระปัญชวคีว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นอันตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ารูปนี้จะได้เป็นอัตตาแล้ว รูปนี้ไม่พึ่งเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลพึ่งได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิดรูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะรูปเป็นอันตา ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลย่อมไม่ได้ในรูปว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลยเวทนาเป็นอันตา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเวทนานี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ไม่พึ่งเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลพึ่งได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลายก็เพราะเวทนาเป็นอันตา ฉะนั้นเวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลย่อมไม่ได้ในเวทนาว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย สัญญาเป็นอันตา ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าสัญญานี้จักได้เป็นอันตาแล้ว สัญญานี้ไม่พึ่งเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลพึ่งได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสัญญาเป็นอันตาฉะนั้นสัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสัญญาว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย สังขารทั้งหลายเป็นอันตา ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าสังขารเหล่านี้จักได้เป็นอันตาแล้ว สังขารเหล่านี้ไม่พึ่งเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลพึ่งได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะสังขารทั้งหลายเป็นอันตาฉะนั้นสังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณเป็นอันตา ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าวิญญานนี้จะได้เป็นอันตาแล้ว วิญญานนี้ไม่พึ่งเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลพึ่งได้ในวิญญานว่า วิญญานของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญานของเราอย่าได้เป็นอย่างนี้เลยดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะวิญญานเป็นอันตา ฉะนั้นวิญญานจึงเป็นไปเพื่ออาภาษณ์ และบุคคลย่อมไม่ได้ในวิญญานว่า วิญญานของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญานของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลยดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นชะไหน?
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยงเพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเหล่า?
เป็นทุกข์เพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปลปรวนเป็นธรรมดาควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ข้อนั้นไม่ควรเลย เพราะพระพุทธเจ้าข้า เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยงเพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเหล่า?
เป็นทุกข์เพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ข้อนั้นไม่ควรเลย เพราะพระพุทธเจ้าข้า เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยงเพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเหล่า?
เป็นทุกข์เพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็เป็นทุกข์ มีความแปลปรวมเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ไม่เที่ยงเพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเหล่า?
เป็นทุกข์เพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปลปรวมเป็ข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ไม่เที่ยงเพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเหล่า?
เป็นทุกข์เพราะพระพุทธเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปลปรวมเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นข้อนั้นไม่ควรเลยพระพุทธเจ้าข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ รูปอย่างได้อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประนีด ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นสักแต่ว่ารูปเธอทั้งหลาย พึ่งเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเราเวทนาอย่างได้อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประนีด ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นสักแต่ว่าเวทนาเธอทั้งหลาย พึ่งเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา สัญญาอย่างได้อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประนีด ไกลหรือใกล้ทั้งหมดก็เป็นสักแต่ว่าเวทนาเธอทั้งหลาย พึ่งเห็นเวทนานานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่เป็นตนของเรา สัญญาอย่างได้อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประนีดไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นสักแต่ว่าสังขาร เวทนาทั้งหลาย พึ่งเห็นสังขารนั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่เป็นตนของเรา วิญญาณอย่างได้อย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประนีด ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นสักแต่ว่าวิญญาณ เวทนาทั้งหลาย พึ่งเห็นวิญญานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่เป็นตนของเรา ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวก ทุกที่ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อนายแม้ในรูป ย่อมเบื่อนายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อนายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อนายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อนายแม้ในวิญญานเมื่อเบื่อนาย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว ที่ควรได้ทำ ทำเสร็จแล้วจิตอื่นอีกเพราะความเป็นอย่างนี้ ไม่ได้มี พระผู้มีพระภาค ได้ตัดพระสูตรนี้แล้ว พระปัญจัวคี มีใจยินดี เพิ่กเพิ่นภาศิตของผู้มีพระภาค ก็แหละเมื่อพระผู้มีพระภาค ตัดเวรกรภาศิตนี้อยู่ จิตของพระปัญจัวคี พ้นแล้วจากอาสวรรค์ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นคราวนั้น มีพระอรหารเกิดขึ้นในโลก หอกอม